ธุรกิจเครือข่ายคืออะไร?

ธุรกิจเครือข่ายคืออะไร?

ธุรกิจเครือข่ายหลอกลวง หรือไม่?

ธุรกิจนี้แตกต่างจากแชร์ลูกโซ่ อย่างไร?

ทำไมผู้คนมากมาย ถึงสนใจร่วมทำธุรกิจ เครือข่าย?

หลายต่อหลายคนคงเคยมีคำถาม ที่ไม่มีคำตอบเหล่านี้อยู่ในใจ แต่วันนี้เราจะเปิดเผยถึงสิ่งที่เรียกว่า ธุรกิจเครือข่าย และไขข้อสงสัยของคุณ
 
ธุรกิจ เครือข่าย แตกต่างจากธุรกิจทั่วไปอย่างไร

สินค้าชิ้นหนึ่ง เมื่อเดินทางออกจากสายพานของโรงงานอุตสาหกรรม ผู้ผลิตสินค้าจะเลือกช่องทางการกระจายสินค้าได้ 2 แบบ คือ




ธุรกิจทั่วไป(Traditional Marketing): 40% ของราคาสินค้าจะหมดไปกับต้นทุนการผลิต และนำ 60% ส่วนที่เหลือจ่ายเป็นค่าการตลาดให้กับธุรกิจโฆษณา ธุรกิจค้าส่ง และธุรกิจค้าปลีก จะเห็นว่าธุรกิจโฆษณามีบทบาทอย่างมากสำหรับธุรกิจทั่วไปผู้ผลิตสินค้าจะต้องเสียเงินถึง 30%

ไปกับการจ้างดารา นักแสดง หรือผู้มีชื่อเสียง เพื่อโปรโมทสินค้าผ่านทางสื่อต่างๆไม่ว่าจะเป็นสื่อกระแสหลักอย่าง ทีวี วิทยุ หนังสือพิมพ์ หรือสื่อยุคใหม่อย่าง อินเตอร์เนต บางครั้งผู้บริโภคก็ซื้อสินค้า โดยไม่ได้คำนึงถึงคุณภาพของมัน บางคนก็อาจจะมีข้อกังขาว่า ผู้มีชื่อเสียงเหล่านั้น เคยใช้สินค้าหรือไม่?

หรือว่าดารา นักแสดง จะช่วยยกระดับคุณภาพของสินค้าจริงหรือ? ผู้ผลิตยังต้องแบ่ง 10% ของราคาสินค้าให้กับธุรกิจค้าส่ง และให้เครดิตการค้าเป็นเวลายาวนาน เพราะต้องพึ่งพิง ช่องทางการกระจายสินค้าไปสู่ธุรกิจค้าปลีก และอีก 20% ที่จะต้องจ่ายให้กับธุรกิจค้าปลีกนั้น

ผู้ผลิตอาจจะต้องเสียเงินค่าวางสินค้า (Shelf Cost) ให้กับผู้ค้าปลีกรายใหญ่ เช่น ร้านสะดวกซื้อ (Convenience Store) หรือร้านค้าปลีกขนาดใหญ่ (Discount Store/Hypermarket)

ประเด็นทั้งหมดนี้ ทำให้เกิดข้อสงสัยขึ้นว่า ค่าการตลาดที่จ่ายไปมากมาย ช่วยเพิ่มมูลค่าให้กับสินค้าของผู้ผลิตหรือไม่ และต้นทุนที่ผู้ผลิตต้องแบกรับ ทำให้ต้องลดคุณภาพสินค้าหรือไม่?

ธุรกิจเครือข่าย(Network Marketing)
: 40% ของราคาสินค้าจะหมดไปกับต้นทุนการผลิตเช่นกัน แต่ธุรกิจMLMจะนำ 60% ส่วนที่เหลือจ่ายเป็นค่าการตลาดให้กับนักธุรกิจขายตรงแทน ระบบการจัดจำหน่ายนี้ เปิดโอกาสให้ผู้บริโภคมีส่วนร่วมใน 60% ที่เป็นค่าการตลาด

เป็นการเปลี่ยนจากผู้บริโภคเป็นนักธุรกิจเครือข่ายหรือผู้บริโภคกึ่งหุ้นส่วนทางธุรกิจ (consumer/partner) ผ่านทางการใช้สินค้าและหากเมื่อใช้แล้วรู้สึกว่าสินค้าดีมีคุณภาพ ก็แนะนำคนรอบข้างให้ใช้ตาม ซึ่งการที่ผู้บริโภคใช้สินค้าแล้วบอกต่อก็เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นอยู่เป็นประจำในชีวิตประจำวัน

แต่ในระบบธุรกิจทั่วไปผู้บริโภคจะทำการตลาดให้ผู้ผลิตฟรีๆ เช่น เมื่อเราไปชมภาพยนตร์เรื่องหนึ่ง แล้วเรารู้สึกชอบ เราก็ไปคุยกับเพื่อน และชวนเพื่อนให้ไปดูบ้างเราก็มีความสุขที่ได้แบ่งปันสิ่งดีๆให้กับเพื่อน ในขณะที่เพื่อนก็มีความสุขที่ได้ชมภาพยนตร์คุณภาพ

หากเปลี่ยนเป็นทำการตลาดในธุรกิจMLM เราจะได้รับทั้งความสุขและมีโอกาสได้รับรายได้ในส่วนที่ดารา นักแสดง ผู้ค้าส่ง และผู้ค้าปลีกได้รับและหากมองของผู้ผลิตนั้น ผู้ผลิตในธุรกิจขายตรงก็สามารถคลายความกังวลทางด้านต้นทุนที่เคยต้องแบกรับเมื่อเปรียบเทียบกับธุรกิจทั่วไป

โดยเฉพาะอย่างยิ่งค่าใช้จ่ายกับธุรกิจโฆษณา เพราะเป็นสิ่งที่ผู้ผลิตต้องชำระแม้จะขายสินค้าไม่ได้เลยแม้แต่ชิ้นเดียว ทำให้ผู้ผลิตยังคงคุณภาพของสินค้าได้ในระดับสูง


ธุรกิจเครือข่าย หลอกลวงหรือไม่?

ในประเทศไทย โดยปกติแล้ว ผู้ผลิตที่จะกระจายสินค้าแบบเครือข่ายจะต้องยื่นขอจดทะเบียนกับ สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค (สคบ.) ซึ่งก็เป็นการสร้างความมั่นใจได้ระดับหนึ่งว่า ผู้ผลิตนั้นน่าเชื่อถือ ไม่หลอกลวง แต่อย่างไรก็ตาม วิธีการแยกธุรกิจเครือข่าย ออกจากแชร์ลูกโซ่ สังเกตได้จากประเด็นดังนี้

  •     แชร์ลูกโซ่จะมีค่าสมัครสมาชิกที่มีราคาสูงมาก โดยผู้แนะนำสมาชิกใหม่จะได้เงินโบนัส ทันทีที่มีการสมัครจากสมาชิกใหม่ แต่ธุรกิจเครือข่ายจะมีค่าสมัครสมาชิกที่ราคาถูก และผู้แนะนำสมาชิกใหม่จะไม่ได้รับส่วนเงินแบ่งจากค่าสมัครสมาชิก
  •     แชร์ลูกโซ่จะเน้นที่การสมัครสมาชิก แต่ไม่เน้นที่ตัวสินค้า ขณะที่ธุรกิจ MLM จะเน้นที่การแนะนำสินค้าอุปโภคบริโภค ซึ่งใช้แล้วหมดไป และก่อให้เกิดการซื้อซ้ำ เพื่อสร้างรายได้ในระยะยาว
  •     แชร์ลูกโซ่จะมีสินค้าที่ราคาสูงผิดปกติ และมาพร้อมกับค่าสมัครสมาชิก ในขณะที่ธุรกิจขายตรงจะขายสินค้าที่ราคาเป็นธรรม เนื่องจากเป็นการเปลี่ยนช่องทางการใช้ค่าการตลาดจากการโฆษณา ค้าส่ง และค้าปลีก เป็นจ่ายให้กับนักธุรกิจเครือข่ายแทน
  •     แชร์ลูกโซ่จะอยู่กับสมาชิกไม่นาน (ประมาณ 1-2 ปี) เพราะหากจำนวนสมาชิกใหม่ลดลง แชร์ลูกโซ่จะไม่มีเงินโบนัสไปจ่ายสมาชิกเก่า เพราะฉะนั้น บริษัทที่มีประวัติความเป็นมาพอสมควร ประกอบธุรกิจมานานกว่า 2 ปี จึงมีแนวโน้มที่จะไม่ใช่ธุรกิจแชร์ลูกโซ่

10 จิตวิทยาพื้นฐานสำหรับคนทำ MLM Online


ข้อ1.มนุษย์ตัดสินใจโดย อารมณ์ และ ความรู้สึก มากกว่าเหตุผล
คุณคิดว่ามนุษย์ส่วนใหญ่มีเหตุผลใช่มั้ย?
ผิดครับ!

ถึงแม้คุณจะคิดว่าตัวคุณเองเป็นคนมีเหตุผล
แต่ความจริงอารมณ์นี่แหละเป็น เครื่องมือ
ที่สมองของคนเราใช้ในการตัดสินใจ

ดังนั้น
มนุษย์จึงตัดสินใจอยู่บนพื้นฐานความรู้สึกชอบหรือไม่ชอบอยู่เสมอ
รวมทั้งคุณและผมด้วย

นั่นเป็นเหตุผลที่อารมณ์และความรู้สึก
ส่งผลอย่างมากในการตัดสินใจซื้อหรือไม่ซื้อ
มากกว่าการสาธยายเหตุผลต่างๆนานา
โน้มน้าวให้คนมาสนใจสินค้าของคุณ

2.คนปรับความคิดเชิงตรรกะให้เข้ากับอารมณ์ และความเชื่อของตน

ผมขอยกตัวอย่างง่ายๆ เช่น
เมื่อคนเห็นโฆษณาของโทรศัพท์มือถือรุ่นล่าสุด
ที่ทำให้เขาเกิดความรู้สึกอยากได้แบบสุดๆ

โดยทั่วไป เขาจะไม่บอกตัวเองหรือคนอื่นหรอกครับว่า
เขาจะซื้อมือถือราคาแพงซะขนาดนั้น
เพียงเพราะอยากได้
เพราะ มันฟังดูไม่ดี ไม่มีเหตุผลสมควร

ดังนั้นเขาจึงพยายามค้นหา คุณสมบัติ ของมือถือรุ่นนั้นๆ
มาสนับสนุนการตัดสินใจซื้อของเขา
เพื่อให้ฟังดูดี

โดยอ่าน ข้อมูลรายละเอียดทางเทคนิคเกี่ยวกับมือถือ เช่น
ความคมชัดของหน้าจอ ขนาดหน้าจอกว้าง
ใช้ต่ออินเตอร์เน็ตแบบ 3G ได้ เล่น whatapp ได้
ความละเอียดของกล้องสูง
ถ่าย VDO ได้ ฯลฯ

แต่ในความเป็นจริงแล้ว
เขาอยากได้มันเพราะ มันทำให้เขารู้สึกดี

แต่ถ้ามีใครถามเขาว่าทำไมถึงซื้อมือถือยี่ห้อนี้ล่ะก็
เขาจะพยายามอธิบายการซื้อของเขาด้วยเหตุผล

3.คนเอาตัวเองเป็นศูนย์กลางของจักวาล
บางทฤษฎีก็บอกว่า “คนมักเห็นแก่ตัว”

แต่แน่นอน
เราทุกคนเอาตัวเองเป็นศูนย์กลางของทุกๆสิ่ง
โดยคิดถึงผลได้ของตัวเองเป็นหลัก

จิตใต้สำนึกจะคอยกระซิบบอกคุณว่า
"คุณจะได้อะไรจากสิ่งนี้?"

ในระดับลึกคำถามอาจจะเป็น
"คุณจะรู้สึกดีกับมันขนาดไหน?"

จนคุณทนเจ้าเสียงกระซิบนี้ไม่ไหว
ต้องทำอะไรบางอย่างเพื่อตอบสนองมัน

แต่ไม่ต้องเสียใจ
เพราะคนอื่นๆก็เป็นเหมือนคุณ

4.คนตัดสิน คุณค่าแตกต่างกัน
“สิ่งที่กำหนดการกระทำของคน
ขึ้นอยู่กับคุณค่าที่เขาให้”

คุณค่าแตกต่างจากราคา มันเป็นตัวเลขที่ไม่คงที่
และมูลค่าที่คนต้องการซื้อสินค้าจะไม่เท่ากัน
ในสินค้าอย่างเดียวกัน
บางคนยอมจ่ายเงินมาก บางคนยอมจ่ายเงินน้อย

ตัวอย่างเช่น
ถ้าคุณหลงทางอยู่ในทะเลทรายมาหลายวัน
คุณค่าของน้ำแก้วหนึ่งสำหรับคุณก็จะแตกต่าง
กับคนที่อยู่ในเมืองที่มีน้ำใช้อยู่ตลอดเวลาแน่นอน
ราคาที่คุณยอมจ่ายจึงแตกต่างกัน

และเพราะคนแต่ละคนรับรู้เกี่ยวกับคุณค่าของสิ่งต่างๆไม่เท่ากัน
นี่เองทำให้คนทำสิ่งที่แตกต่างกัน

บางคนอาจตัดสินใจซื้อนาฬิการาคาหลายแสน
ทั้งๆที่นาฬิกาเรือนละไม่กี่พันก็บอกเวลาได้เหมือนกัน

บางคนยอมสละชีวิตของตนเพื่อช่วยหลือผู้อื่นได้
โดยไม่คำนึงถึงชีวิตตนเอง เพราะอะไร?

คุณค่าจะขึ้นอยู่กับ วิธีการรับรู้
ระหว่างข้อมูลที่เขาจะได้รับ กับ สิ่งที่เขาเชื่อ

คุณต้องมุ่งเน้นในการให้คุณค่าและประโยชน์แก่ผู้อื่น
มากกว่าการคิดว่า
คุณจะได้อะไรตอบแทนกลับมา

เมื่อคุณกลายเป็นคุณค่าสำหรับผู้อื่นแล้ว
คนอื่นจะคิดถึงคุณเป็นอันดับแรก
เมื่อเขามีความต้องการสินค้าหรือบริการใดๆ

5.คนคิดในแง่ของมนุษย์
สมองของมนุษย์ไม่ได้ ประมวลผลข้อมูล แบบ
คอมพิวเตอร์หรือเครื่องคิดเลข

หน้าที่หลักของมันสมองคือ
การจัดการกับการปฏิสัมพันธ์
ทางความรู้สึก อารมณ์ และข้อมูลที่ได้รับ

คนชอบที่จะเห็นสินค้า สัมผัสความรู้สึกด้วยตัวเอง
ได้ยินเสียง ได้ลิ้มรส ได้กลิ่นสินค้าก่อนที่จะตัดสินใจซื้อมัน

บางคนไม่เคยซื้อสินค้าOnline
เพราะพวกเขาไม่สามารถตรวจสอบสินค้าได้ด้วยตัวเอง

สินค้าบางรายการ พอที่จะขายแบบ Online ได้ง่าย
เช่นหนังสือและซีดี ที่คุณภาพของสินค้าไม่แตกต่างจากการออกไปซื้อที่ร้าน

สินค้าอื่น ๆ เช่นเสื้อผ้าหรือ อาหาร อาจจะขายยากกว่า
เพราะคุณภาพ ความพึงพอใจ
เป็นตัวแปรสำคัญ ในการเลือกซื้อ
อย่างน้อยก็จนกว่าคนจะมีประสบการณ์การซื้อที่น่าพอใจ

6.ธรรมชาติของคนมักสงสัยสิ่งที่ไม่คุ้นเคย
การโฆษณาสินค้าเกินจริงเกิดขึ้นตลอดเวลา

คนส่วนใหญ่จึงไม่เชื่อข้อเสนอใด ๆที่เขาได้รับ
พวกเขาพยายามที่จะหลีกเลี่ยงความเสี่ยงที่
จะถูกหลอก และถูกเอาเปรียบ จากคนขายสินค้า

วิธีดีที่สุดที่ทำให้ความสงสัยมีน้อยลงคือหลักฐาน
เช่น ผลการทดสอบและทางวิทยาศาสตร์
ผลการรับรองความพึงพอใจสินค้า จากลูกค้าคนอื่นๆ


7.คนชอบซื้อ แต่ไม่ชอบถูกขาย
คนจำนวนมากไม่ชอบที่จะถูกขายสินค้า
เพราะพวกเขาชอบที่จะตัดสินใจด้วยตัวเอง

พวกเขาชอบที่จะค้นพบผลิตภัณฑ์ใหม่
และได้รับประสบการณ์การซื้อที่ยอดเยี่ยม

ดังนั้นแทนที่จะ "ขาย" ให้กับคน
คุณควรพยายามที่จะ "ช่วย" พวกเขาแก้ปัญหา
เสนอวิธีช่วยให้เขาหลุดพ้นจากความทุกข์ที่เขาเผชิญอยู่
หรือวิธีที่จะช่วยผู้คนปรับปรุงชีวิตให้ดีขึ้น

8.คุณไม่สามารถเปลี่ยนหรือบังคับให้คนอื่นทำอะไรได้

เมื่อคนตัดสินใจลงมือทำอะไร
ไม่ได้เป็นเพราะคุณใช้เวทมนต์หรือจิตวิทยากับพวกเขา

คุณสามารถเชิญชวน
คุณสามารถดึงดูด

แต่ในท้ายที่สุดคนทำในสิ่งที่พวกเขาต้องการจะทำ
ซึ่งหมายความว่า งานของคุณคือ
การแสดงว่าสิ่งที่คุณนำเสนอตรงกับ
ความต้องการของเขาอยู่แล้ว

9.คนมักจะมองหาสิ่งที่ช่วยเติมเต็มชีวิต
คนมีความไม่พอใจตามธรรมชาติ
และใช้ชีวิตเพื่อค้นหาบางสิ่งบางอย่าง
เพื่อเติมเต็มความต้องการอยู่เสมอ เช่น
Love. ความรัก
Wealth. ความมั่งคั่ง
Glory. เกียรติยศ ชื่อเสียง
Comfort. ความสะดวกสบาย
Safety. ความปลอดภัย

วิธีที่ดีและง่ายที่สุดคือ การแสดงให้คนอื่นรู้ว่า
สินค้า, บริการ, ของคุณจะช่วยให้คนอื่น
เติมเต็มความต้องการของเขาได้อย่างไร

10.คนส่วนใหญ่ทำตามฝูงชน
มนุษย์เป็นสัตว์สังคม และมักทำตามกลุ่ม
สัญชาตญาณทำให้เราอยู่รวมกันเพื่อความอยู่รอด

นักจิตวิทยา อธิบายพฤติกรรม การทำตามกลุ่ม
ว่าเกิดจากการที่มนุษย์เราเชื่อว่า
เมื่อทำตามกลุ่มแล้วโอกาสที่จะทำผิดพลาดจะน้อยลง
คือ ถ้าคนส่วนใหญ่เห็นว่าดี สิ่งนั้นก็น่าจะดี

คนส่วนใหญ่ก็มักจะดูคนอื่น ๆ
เพื่อดูว่าคนอื่นทำอะไรกัน
และพยายามหาคำแนะนำจากคนอื่น
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง
เมื่อเขาไม่แน่ใจเกี่ยวกับบางสิ่งบางอย่าง
เขาจะมองดูว่า
"อะไรที่คนอื่นคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้?
อะไรที่คนอื่นทำ? "

นี่คือเหตุผลที่คำรับรองจากเพื่อนและ
คำรับรองการใช้สินค้าจะมีอิทธิพล
ต่อการตัดสินใจซื้อ

คุณควรเลือกร่วมงานกับเครือข่ายไหน


คุณควรเลือกร่วมงานกับเครือข่ายไหน

1. บริษัท ต้องเป็นบริษัทที่ดี มีความน่าเชื่อถือ มีฐานะทางการเงินที่มั่นคง
2. สินค้าต้องดี มีคุณภาพ เป็นที่ต้องการของตลาด
3. แผนการตลาดต้องดี ออกแบบมาให้ช่วยเหลือกัน และทำงานเป็นทีมจริงๆ ที่สำคัญต้องทำได้ทั่วโลกโดยไม่มีเงื่อนไข (ศึกษาให้ดีครับ เพราะบางครั้งที่ที่เล่าแผนเค้าบอกว่าทำได้ทั่วโลก แต่จริงๆมีเงื่อนไขบางอย่าง ครับ-อันนี้ไม่สามารถบอกได้ว่าที่ไหนครับ อิอิ)
4. ทีมงานบริหารต้องเป็นมืออาชีพ มีวิสัยทัศน์ ทีมงานผู้นำต้องเป็นผู้นำจริงๆ ช่วยเหลือและนำคุณสู่ความสำเร็จได้ ทีมงานคุณ และตัวคุณเอง
5. แนวโน้มของตลาดของสินค้า/บริการ ต้องดี (ปัจจุบันเป็นยุคของ Wellness Industry แล้วครับ)

หนังสือเกี่ยวกับการเลือกธุรกิจเครือข่าย

1. Business School โดย Robert T. Kiyosaki แปล โดย คุณพิบูลดิษฐ์อุดม ครับ (เข้าใจว่าเป็นระดับเพชรของ เอ-แวม ครับ) 

2. เล่าสู่กันฟังธุรกิจเครือข่าย เล่มนี้เข้าใจว่าเลิกพิมพ์ไปนานมากแล้วครับ แต่เขียนดีมากๆ แต่ไม่ได้พูดถึงทฤษฎีบอกว่าธุรกิจเครือข่ายคืออะไรครับ แต่บอกว่าส่วนใหญ่คนที่ทำเครือข่ายแล้วไม่สำเร็จเพราะอะไร ถ้าสนใจเล่มนี้ลองถามหาได้ที่ผมก็ได้ครับจะลองหาให้ แต่ไม่ได้ชวนคุณมาทำเครือข่ายกับผมนะ 

3. 10 Napkins เล่มนี้จะสอนแนวคิดการทำเครือข่ายในลักษณะที่เอาไปใช้ทำงานจริงได้ครับ อย่าเช่นว่าจะเริ่มต้นเครือข่ายควรทำกี่สาย ลึกลงไปกี่ชั้น ผมเข้าใจว่า Napkin แปลว่าผ้ากันเปื้อนก็คงจะหมายถึงบนเรียนสำคัญ 10 บทที่ช่วยมือใหม่มั้งครับ นึกถึงเวลาเด็นๆจะต้องใส่เอี้ยมที่เป็นผ้ากันเปื้อน เล่มนี้มีเป็น File ครับขอได้ทีผม ได้อีกเช่นกัน 

4. คัมภีร์แห่งอิสรภาพทางการเงิน เป็นหนังสือที่เขียนโดยนักการตลาดเครือข่ายชาวไต้หวัน เล่มนี้เป็นอีกเล่มหนึ่งที่เหมาะกับการปรับทัศนคติของคนทำเครือข่ายมากครับ คอนข้างจะให้เหตุและผลในแต่ละประเด็นที่ชัดเจน 

5. Sales Dogs หรือ พันธุ์นักขาย หนังสืออีกเล่มในตระกูล Rich Dad 's Advisor นอกจากจะใช้ในการช่วยหาบุคคลิกของพันธูนักขายหรือคุณลูกค้าแล้ว (คล้ายๆกันกับทฤษฏี E-DISC) ยังอธิบายเรื่องเกี่ยวกับ Sales และ Marketing ได้ดีมาก ซึ่งสอดคล้องกับคำว่า "จงเลือกระดับการสื่อสาร" ได้ดีมากๆครับ 

6. เกือบลืมครับ "นากาจิม่า คาโอรุ หนุ่มโสดผู้ร่ำรวยที่สุดในโลก" อันนี้เป็นของทาง เอ-แวม อีกแล้วครับ อยากให้คนที่คิดหรือจะทำเครือข่ายได้อ่านครับ คนๆนี้คิดแบบง่ายๆ ง่ายมาก ใช้ชีวิตก็ง่ายๆ จริงใจ แต่ผลงานนี่สุดยอดครับ เป็น ดับเบิ้ลมงกุฏฑูต คนเดียวในโลกของเอ- (มั้งครับ)

ปิดการขาย แค่คิดก็ผิดแล้ว…ในการทำธุรกิจเครือข่าย

คุณคิดว่า…การที่เราทำในสิ่งที่เรามีความเชื่อผิดๆ ทำตามสิ่งที่ได้รู้มาอย่างผิดๆ แล้วคุณจะได้ผลลัพธ์ที่ถูกต้องที่สุดได้หรือไม่ครับ?…ซึ่งมันก็ไม่ต่างกัน กับการทำธุรกิจเครือข่าย ธุรกิจขายตรง ที่ยังมีความเข้าใจผิดๆ ที่ทำให้นักธุรกิจเครือข่าย ไม่ว่าจะเป็นนักธุรกิจแอมเวย์, เอมสตาร์ , เฮอบาไลฟ์ , กิฟฟารีน, นีโอไลฟ์, ประสบความสำเร็จจากการทำธุรกิจเครือข่ายได้อย่างยากเย็น   ซึ่งสิ่งที่ผมจะนำมาพูดถึงความเข้าใจผิดๆ ที่ทำให้นักธุรกิจเครือข่ายอย่างคุณกับผมไม่สามารถสปอนเซอร์ผู้มุ่งหวังได้ ไม่สามารถขยายธุรกิจได้อย่างใจหวัง กับความเชื่อที่ว่า…ไม่ว่าจะอย่างไรต้อง…

“ปิดการขายให้ได้”


คุณอาจจะสงสัยว่า…การ “ปิดการขาย” มันผิดตรงไหน…อัพไลน์ทุกบริษัทไม่ว่าๆ แอมเวย์, เอมสตาร์,เฮอบาไลฟ์,กิฟฟารีน, นีโอไลฟ์ และบริษัทอื่นๆ อีกมากมายก็สอนให้ “ปิดการขาย” ทั้งนั้น…ก็เขาทำกันมาจนเห็นผลกันอย่างมากมาย กลายเป็นผู้นำองค์กรที่ประสบความสำเร็จ แล้วน่าจะมีอยู่ประมาณ 1% ซึ่งเป็นบุคคลกลุ่มพิเศษ…
เมื่อเทียบกันเป็นอัตราส่วนกับคนที่ไม่ประสบความสำเร็จ ซึ่งไม่สามารถฝ่าด้านอรหันต์ “ปิดการขาย” กับผู้มุ่งหวังที่แม้เป็นคนรู้จักที่มีความสัมพันธ์อันดีต่อกันมานานแล้วก็ตาม…

เราจะมาดูกันว่าทำไม? แค่คิดว่าจะ”ปิดการขาย” ให้ได้นั้นก็ผิดแล้วในการทำธุรกิจเครือข่าย…

1. ถ้าพูดถึงในเรื่องของการขายสินค้าที่ขายในวงการธุรกิจเครือข่าย ซึ่งเป็นสินค้า ที่ขายยาก……เป็นสินค้าที่คนซื้อซ้ำบ่อยๆ ไม่ได้ ถึงจะเป็นสินค้าคุณภาพดีที่สามารถใช้ได้ในชีวิตประจำวัน… ก็เป็นสินค้ามีราคาสูง…

2. ถ้าพูดถึงเรื่องของการชวนคนเข้าทำธุรกิจนั้นก็ยิ่งยากไปใหญ่ เพราะโดยตัวธุรกิจเครือข่ายนั้นก็มีระบบที่เข้าใจได้ยากอยู่แล้วเมื่อเทียบ กับธุรกิจทั่วๆไป อย่างการเปิดร้านอาหาร ร้านกาแฟ ที่คนสามารถเข้าใจ มองเห็นรายได้จากการขายปลีกได้ง่าย กว่ารายได้จากการทำธุรกิจ MLM

3. ยิ่งถ้าเป็นคนที่คุณไม่เคยรู้จักมากก่อน…ซึ่งเขาก้ไม่เคยรู้จักกับคำว่า ธุรกิจเครืข่ายมาก่อนแล้ว อย่าพูดถึงเรื่อง “การปิดการขาย” เลย แค่จะอธิบายให้เข้าใจโดยไม่โดนปฏิเสธตั้งแต่ 5 นาทีแรก ก็ถือว่าโชคดีแล้วครับ

4. ถ้าผู้มุ่งหวังที่คุณคุยด้วยนั้นเป็นคนที่ เคยล้มเหลว เคยมีประสบการณ์ร้ายๆ เกี่ยวกับการทำธุรกิจเครือข่าย จากญาติพี่น้อง แล้ว เป็นเรื่องง่ายที่เขาจะปฏิเสธคุณเมื่อได้รู้ว่าคุณทำธุรกิจเครือข่าย

5. คุณไม่ได้รับการยอมรับหรือเป็นที่น่าเชื่อถือในสายตาผู้มุ่งหวังที่คุณคุย ด้วย…เพราะคุณไม่ได้เอาสิ่งที่มีคุณค่า หรือเป็นประโยชน์ไปให้เขา แต่คุณกำลังจะไปขายของ

6. ข้อนี้สำคัญมาก(ผมขอให้จำไว้เลย) “สิ่งที่คุณขายไม่ใช่สิ่งที่เขาต้องการ” เพราะไม่ใช่ทุกคนที่อยากทำธุรกิจเครือข่าย และไม่ใช่ทุกคนที่จะประสบคึวามสำเร็จ จากการทำธุรกิจเครือข่าย

7. กรอบความคิดที่ว่าต้องปิดการขายให้ได้นั้น…จะทำให้ทุกคำพูดของคุณไม่เป็น ธรรมชาติ แฝงรังสีของความอยากขายที่กดดันให้ผู้มุ่งหวังรู้สึกว่าเขากำลังถูกไล่ต้อน รู้สึกไม่สบายตัว จนเขาต้องตั้งการ์ดป้องกันตัวด้วยการรีบปฏิเสธคุณ

ผมมั่นใจว่าสาเหตุหลักๆ ทั้ง 6 ที่กล่าวมานี้คงช่วยให้คุณมองเห็นภาพแล้วว่า “ปิดการขาย” แค่คิดก็ผิดแล้ว…ในการทำธุรกิจเครือข่าย

ทำไม!…นักธุรกิจเครือข่ายถึงต้องเลิกคิดถึงเรื่องการ “ปิดการขาย”   ต่อจากนี้ไปสิ่งที่คุณนักธุรกิจ…แอมเวย์, เอมสตาร์,เฮอบาไลฟ์,กิฟฟารีน,อาเจล,เอสเนเจอร์ ,นีโอไลฟ์ หรือบริษัทอื่นๆ ที่ผมไม่กล่าวถึง ควรทำคือ การเปลี่ยนกรอบความคิดใหม่ ว่าเราต้องทำการ

ด้วยการทำให้ผู้มุ่งหวัง… ยอมเปิดใจยอมรับให้คุณพัฒนาความสัมพันธ์กับเขา…ด้วยการเก็บข้อมูลติดต่อกลับ อย่างเช่น เบอร์โทรศัพท์ อีเมล์ เพื่อนำเสนอวิธีการสร้างธุรกิจเครือข่ายที่ Work ด้วยโอกาสทางธุรกิจของคุณ…หรือการทำให้ผู้มุ่งหวังติดต่อกลับมาหาคุณเอง จากข้อมูลที่คุณให้ไว้ในเว็บไซต์…ในโฆษณา…ในเฟสบุ๊ค ก็เป็นหนทางที่จะทำให้คุณ “เปิดการขายได้” ยิ่งผู้มุ่งหวังเข้าใจในตัวคุณ  เข้าใจในธุรกิจของคุณ  ครับ แต่นี้ต่อไปขอให้คุณท่องให้ขึ้นใจ…คุณกำลังไปเปิดการขาย…ไม่ใช่ไปปิดการขาย ปิดอนาคตตัวเองครับ

เทคนิคการทำธุรกิจเครือข่ายในยุคปัจจุบัน

การทำธุรกิจเครือข่ายในยุคปัจจุบัน ที่คุณสามารถสร้างอิสภาพทางการเงินได้ให้ประสบความสำเร็จ มีเคล็ดลับสำคัญอยู่ 7 ประการก็คือ




  1. ตัวคุณเอง คุณในฐานะเจ้าของธุรกิจ เพราะถ้าคุณรู้ว่าคุณเป็นเจ้าของธุรกิจ คุณเป็นคนสร้างธุรกิจด้วยตัวคุณเอง ไม่ฝากธุรกิจไว้กับใคร คุณจะทำทุกอย่างเหมือนที่เจ้าของบริษัททำ คุณจะตั้งใจเรียนรู้ ลงมือทำ หาวิธีการต่างๆเพื่อให้คุณและทีมงานประสบความสำเร็จ คุณจะไม่กลัวความยากลำบาก ทนต่อคำปฏิเสธ เรียนรู้จากความล้มเหลว มีทัศนคติของผู้ชนะ (Winning Attitude) และพร้อมที่จะลุกขึ้นมาใหม่ได้เสมอๆ
  2. ความเป็นผู้นำ ธุรกิจเครือข่ายเป็นธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับคนจำนวนมาก ไม่ว่าคุณจะสร้างธุรกิจแบบออนไลน์หรือออฟไลน์ก็ตาม หากคุณเป็นผู้นำตัวจริง ผู้คนจะตามคุณ หากไม่ใช่ ผู้คนก็จะถอยห่าง การเป็นแบบอย่าง การสร้างสายสัมพันธ์เป็นสิ่งจำเป็นต่อการสร้างทีมอย่างยิ่ง ทั้งนี้ความเป็นผู้นำที่สำคัญในธุรกิจเครือข่ายไม่ใช่การสั่งงานตามสายการบังคับบัญชา แต่หมายถึงการให้ การเป็นแบบอย่าง การสอนงาน ให้ความรู้ และความอยากให้ผู้อื่นประสบความสำเร็จด้วยความจริงใจ เพราะเมื่อใดก็ตามที่เกิดความแคลงใจว่าคุณกำลังต้องการผลประโยชน์จากเขาเพียงฝ่ายเดียว ความเป็นผู้นำของคุณก็จะสูญสิ้นไป
  3. ทีมที่คุณเข้่าร่วม อย่าลืมว่าเมื่อคุณเริ่มต้นธุรกิจเครือข่ายนั้น คุณยังทำอะไรไม่เป็น บริษัทธุรกิจเครือข่ายส่วนใหญ่จะไม่สอนวิธีการดำเนินธุรกิจให้คุณ แต่ทีมที่พาคุณเข้าธุรกิจจะเป็นผู้ที่คอยสอนงาน และแนะนำวิธีการทำงานให้คุณ หากคุณร่วมกับทีมที่มีความซื่อสัตย์ พยายามสร้างความสำเร็จให้คนในทีม มีแนวคิดการทำงานแบบคนฝั่งขวา ก็คือการสร้างระบบ ให้เกิดการเลียบแบบทำซ้ำได้จริง มีระบบการเรียนการสอนเสมือนโรงเรียนสอนธุรกิจ ก็จะทำให้คุณและคนของคุณทำงานเริ่มต้นได้อย่างถูกต้อง ไม่หลงทาง
  4. อย่าคิดเติบโตทางลัด คิดเสมอว่าคุณกำลังสร้าง Passive Income นั่นก็คือการสร้างกระแสเงินสดในระยะยาว ในธุรกิจเครือข่ายนั้น สิ่งที่คุณกำลังลงทุนสร้างก็คือผู้คนที่คุณสร้างคุณค่าให้ และพัฒนาทักษะของเขาให้เป็นผู้นำ และมีระบบเทรนนิ่งให้พวกเขาสามารถสร้างผู้นำรุ่นต่อๆไปได้ ซึ่งต้องใช้เวลา หาใช่ยอดธุรกิจหรือยอดขายสินค้าที่เกิดขึ้นเพียงชั่วคราวหากไม่มีผู้นำ นักธุรกิจเครือข่ายหลายคนหลงในกระแสอยากสำเร็จเร็ว ขึ้นตำแหน่งเร็วจากแรงโมติเวทสร้างยอดธุรกิจ สุดท้ายก็ต้องสต็อกสินค้าเต็มบ้าน หรือซ้ำร้ายก็ยุให้ดาวน์ไลน์ซื้อของเยอะๆ เสียความสัมพันธ์ ทำให้กระแสเงินสดติดลบ เป็นหนี้ ขาดทุนเจ็บปวดจากธุรกิจ และรังเกียจธุรกิจเครือข่ายไป
  5. รักการเรียนรู้และพัฒนาตัวเอง ความรู้เป็นสิ่งที่จำเป็นต่อธุรกิจทุกประเภท ไม่มีเจ้าของธุรกิจคนไหนที่ไม่มีความรู้ในสิ่งที่ตัวเองทำอยู่ เจ้าของธุรกิจที่มีความรู้และการฝึกฝนมากกว่า ก็ย่อมมีความชำนาญ และมีความสามารถในการปรับใช้ความรู้นั้นกับธุรกิจของตน การเรียนรู้ การรักการอ่าน ช่วยเรื่องของแนวคิด การทีมีแนวคิดที่ถูกต้อง คุณย่อมสามารถถ่ายทอดแนวคิดปลูกฝังลงในองค์กรเครือข่ายของคุณได้ ดังนั่น การเรียนการพัฒนาตัวเองจะช่วยให้คุณและธุรกิจของคุณไม่อยู่นิ่ง มีความก้าวหน้าเสมอๆ
  6. เทคโนโลยี ธุรกิจเครือข่ายเป็นธุรกิจที่เกิดขึ้นมานาน ในโลกนี้มีการพัฒนาด้านการตลาดใหม่ๆมากมาย แต่ในโลกธุรกิจเครือข่าย กลับมีการพัฒนาช้ามาก การทำธุรกิจเครือข่ายมักได้รับการสอนจากอัพไลน์รุ่นก่อนๆต่อเนื่องกันมา การทำธุรกิจยังเป็นแบบ Old School เช่นเดิม นักธุรกิจเครือข่ายกว่า 99 % ไม่มีความรู้เรื่องการตลาด จริงๆแล้วนักธุรกิจเครือข่ายชั้นนำในโลกนี้รุ่นใหม่ๆ ใช้วิธีการที่เรียกว่า New School ที่ประสบความสำเร็จอย่างรวดเร็ว ต่างใช้การตลาดที่เรียกว่า Attraction Marketing หรือการตลาดดึงดูด โดยการใช้เทคโนโลยีออนไลน์เป็นเครื่องมือในการทำตลาด เพียงแต่คุณต้องกล้าเรียนรู้ กล้าเปลี่ยนแปลงกับสิ่งใหม่ๆเท่านั้น
  7. หากคุณสามารถสร้างรายได้จากธุรกิจเครือข่ายแล้ว อย่าลืมว่า การสร้างกระแสเงินสดที่เป็น Passive Income นั้นไม่ได้มีเพียงธุรกิจเครือข่ายเพียงอย่างเดียว คุณควรศึกษาหาความรู้การสร้าง Passive Income แบบอื่นๆด้วย มีนักธุรกิจเครือข่ายที่ประสบความสำเร็จในโลกนี้หลายท่าน สามารถนำกระแสเงินสดที่เกิดจากธุรกิจเครือข่าย ไปต่อยอดสร้างกระแสเงินสดจากการลงทุนอื่นๆ หรือผันตัวเองจาก B (Business Owner) ไปเป็น I (Investor) ได้ ไม่ว่าจะเป็นอสังหาริมทรัพย์ หุ้น พันธบัตร และสามารถจัด Portfolio ให้เหมาะสมกับความเสี่ยงในช่วงเวลาที่เหมาะสมได้
แต่เมื่อใดก็ตามที่คุณสามารถสร้าง Passive Income จากธุรกิจเครือข่ายได้จำนวนมากพอ ที่สร้างกระแสเงินสดให้คุณไม่มีวันหมดสิ้น เมื่อนั้น คุณก็สามารถลงทุนในสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงมากขึ้นได้ (High Risk, High Return) ซึ่งต่างกับการลงทุนด้วยเงินเก็บของคุณที่คุณเก็บหอมรอมริบไว้จาการทำงาน ซึ่งหากพลาดไปก็เป็นการยากที่คุณจะสามารถรับความเสี่ยงได้

ธุรกิจอะไรบ้างที่เป็น Passive Income

โรเบิร์ตได้กล่าวไว้ว่า การที่คุณจะสามารถก้าวข้ามจากคนฝั่งซ้าย มาเป็นคนฝั่งขวาเพื่อสร้างอิสรภาพทางการเงินได้นั้น เป้าหมายของคุณก็คือ การมีระบบและคนทำงานให้คุณ โดยที่คุณจะสร้างระบบขึ้นมาเองหรือซื้อมาใช้ก็ได้ ซึ่งระบบก็คือสะพานที่ทำให้คุณก้าวข้ามจากคนฝั่งซ้ายไปฝั่งขวาได้ ซึ่งปัจจุบัน มีระบบให้คุณเลือกใช้คือ
1 บริษัท (C-Corporation) ซึ่งคุณสร้างระบบขึ้นมาเอง
2 แฟรนไชส์ ซึ่งคุณซื้อระบบจากคนอื่น
3 การตลาดแบบเครือข่าย  คุณซื้อระบบและเป็นส่วนหนึ่งของระบบนั้น


โรเบิร์ตกล่าวว่า ธุรกิจเครือข่ายเป็นธุรกิจที่สามารถสร้างอิสรภาพทางการเงินได้ ด้วยเงินลงทุนที่ต่ำมาก และไร้ซึ่งภาระทางด้านการบริหารและเอกสาร เพียงแต่ต้องใช้ความมานะมุ่งมั่น ซึ่งจริงๆแล้วการสร้างธุรกิจส่วนตัวใดๆก็ล้วนต้องใช้ความมุ่งมั่นกว่าคนปกติเช่นเดียวกัน

ในปัจจุบัน มีธุรกิจเครือข่ายหลายบริษัท ทั้งของไทยและต่างประเทศ ที่เข้าข่ายตามที่โรเบิร์ตกล่าวไว้ ที่คุณสามารถเข้าร่วมได้ เพียงแต่คุณต้องอย่าเลือกเพียงผลประโยชน์เฉพาะหน้าที่แต่ละบริษัทนำมากล่างอ้างเพียงเพราะต้องการคุณและเงินของคุณ โดยเอาเงินความร่ำรวยระยะสั้นมาล่อเท่านั้น  ขอบอกว่า ธุรกิจเครือข่ายสร้างความมั่งคั่งได้จริง แต่ไม่ใช่อยู่เฉยๆแล้วจะได้เงินเหมือนที่คุณเห็นโฆษณามากมายว่า เพียงแต่คุณสมัครเข้ามาก็รวยได้แล้ว ระบบจะทำงานแทนคุณ หากมีจริง คนก็คงรวยไปทั้งโลกแล้ว

มีธุรกิจเครือข่ายเกิดขึ้นใหม่ในประเทศไทยหลายร้อยบริษัทต่อปี และที่ปิดตัวไปในแต่และปีก็มีจำนวนมากเช่นกัน ที่สำคัญ เรามักเห็นนักธุรกิจเครือข่ายย้ายค่ายกันเป็นว่าเล่น แล้วมักกล่าวประโยคที่ว่า มาเป็นต้นสาย รับสมัครต้นสาย คุณคิดอย่างไร หากคุณต้องเป็นต้นสายอยู่ร่ำไป เริ่มต้นใหม่อยู่เสมอๆ หากเป็นเช่นนี้แล้วอิสรภาพทางการเงินของคุณจะเกิดขึ้นได้อย่างไร ?

ในแหล่งวิชาการทางด้านธุรกิจเครือข่ายทั่วโลก ไม่มีที่ใดกล่าวว่า คุณจะสำเร็จในธุรกิจเครือข่ายได้ คุณต้องเป็นต้นสายเท่านั้น ด้วยตรรกกะแล้วคุณลองคิดดูว่า หากมีบริษัทเปิดใหม่ คุณกล้าเสี่ยงที่จะฝากอนาคตกับบริษัทนั้นไหม เพราะจะมีบริษัทใหม่ๆเปิดอยู่ตอดเวลาที่พร้อมให้คุณเป็นต้นสาย ผมไม่ได้บอกว่าบริษัทเปิดใหม่ไม่ดี เพียงแต่คุณต้องมีข้อมูลและวิเคราะห์เป็นอย่างดีแล้วเท่านั้น

แต่คุณก็จะเห็นบริษัทเครือข่ายที่ถึงแม้จะเปิดดำเนินกิจการมานานหลายๆปี ก็ยังมีคนสมัครเข้าร่วมใหม่เสมอๆ มีความสำเร็จใหม่ๆให้เห็น และมีความเติบโตอย่างต่อเนื่อง จริงๆแล้วต้นสายจริงๆก็คือตัวคุณเองนั่นแหละ เพราะปัจจัยหลักที่ทำให้ผู้มุ่งหวังเข้าร่วมธุรกิจก็คือตัวคุณนั่นเอง


อย่างไรก็ตาม โรเบิร์ต ได้กล่าวว่า เขาจะเลือกธุรกิจเครือข่ายที่มีคุณสมบัติดังนี้

  • มีระบบเครือข่ายและการจัดจำหน่ายพร้อมระบบผลตอบแทนที่ได้รับความสำเร็จมาแล้วหลายปี 
  • สร้างโอกาสทางธุรกิจ สร้างความเชื่อมั่น และผู้ร่วมทีมแชร์ความรู้ของกันและกันได้
  • มีระบบการพัฒนาผู้ร่วมทีมให้สามารถก้าวไปสู่การทำงานด้านขวาได้อย่างมั่นคง
  • มีต้นแบบที่มีคุณภาพ ให้โอกาสคุณได้เรียนรู้จากผู้นำ ไม่ใช่จากที่ปรึกษา ผู้นำที่มีประสบการณ์ด้านขวาและต้องการให้คุณได้รับความสำเร็จเช่นเดียวกัน
  • มีคนที่คุณนับถือและอยากร่วมงานด้วย 


ทำไมต้องทำธุรกิจด้าน B และ I

ผมชื่อ เอกลักษณ์  นะครับ ขอแนะนำตัวก่อนละกัน
เรียนจบก็แค่ ป.ตรี  คณะวิศวะ  ม.เกษตรนี่เอง
คือผมเป็นมนุษย์เงินเดือน คำว่า ขายตรง ไม่เคยอยู่ในหัวสมองผมเลย ผมคิดอยู่อย่างเดียวคือทำอย่างไร จะมีผลงาน เยอะๆ ขึ้นตำแหน่งสูงๆ จะได้มีเงินเดือนมากๆ เท่านั้นเอง 




หลังจากที่ผมจบมาก็ได้ทำงานตามสายที่เรียนครับ  ก็ OK นะครับ เข้าบริษัทที่ว่าใหญ่ของประเทศเลย เงินเดือนก็ 30,000-50,000 บาท/เดือน แล้วแต่ OT  ทำงานมาเรื่อยๆ ไม่ได้คิดอะไรครับ มีเงินเก็บก้อนหนึ่ง ประมาณหลักแสน ก็ไม่ได้ลงทุนอะไรเลยทำงานมาก็เก็บอย่างเดียว เก็บโดยฝากประจำครับ 

จนแต่งงานมีลูก จากเดิมรายจ่ายเราตัวคนเดียวก็ไม่มีปัญหาอะไรครับ จนมาแต่งงานแล้วมีลูกค่าใช้จ่ายก็เริ่มมากขึ้นตามตัว จะกระทั่งมีเงินที่จะเก็บน้อยลงจากเดิม  จนกระทั่งไม่มีเงินที่จะเหลือเก็บเลย ก็ต้องมาลดรายจ่าย..คือสิ่งที่ฟุ่มเฟือยก็ต้องลดลง 

ผมทำงานนี้มาอยู่ 5 ปีครับ ผมมีโอกาสเริ่มเข้าสังคมของผู้บริหารโดยการตีกลอฟของบริษัทฯ ทำให้ผมเห็นว่าคนที่เป็นหัวหน้าผมในสายงานที่ไม่มีธุรกิจที่เป็นของตัวเองก็ดูเหมือนสถานะทางการเงินยังไม่ดี เช่น ทำงานมาเป็น 20 กว่าปี อีกไม่กี่ปีก็เกษียรแล้ว มีทรัพย์สินเพียงบ้านกับรถเท่านั้น เงินก็มีเพียงใช้เป็นเดือนและก็บอกกับลูกตัวเองว่า พ่อแม่มีให้เท่านี้นะอยากได้ให้หาเอาเอง  ทำให้ผมทราบทันทีว่าการที่ผมทำงานประจำต่อไปผมจะเป็นยังไงเนียะ ผมก็คิดมาอยู่ตลอดแต่ก็ยังตั้งใจทำงานต่อไปเหมือนเดิม

และแล้วทางสว่างก็มาให้ผมเห็นอีกครั้ง เมื่อบริษัทส่งผมไปควบคุมงานที่หนึ่ง เจ้าของส่งลูกที่เป็นทายาทมาดูงานแทนเพราะจะวางมือแล้ว ซึ่งเป็นรุ่นเดียวกันกับผม คุยแล้วรู้สึกว่าผมกับเขาอายุเท่ากันแต่เรื่องที่คุุยและจุดประสงค์ที่คุยต่างกันอย่างมาก คือผมมองว่าการทำงานของผมคือการทำงานเพื่อได้เงินมาแต่ละเดือนและถ้าอยากได้มาต้องทำงานมากคือ OT และทำให้ตำแหน่งขึ้นเพื่อเงินเดือนจะได้ขึ้นเท่านั้นเอง แต่ความคิดของเจ้าของธุรกิจคือ เอาเงินไปทำงานให้เราแล้วกำไรค่อยว่ากัน เพราะก่อนทำรู้อยู่แล้วว่าต้องมีกำไร งงล่ะซิ เจ้าของยอมที่จะเอาเงินลงทุนไปก่อนกู้มาครับ และอยากเร่งงานเหรอบอกไปเลยว่าถ้าทำเสร็จก่อนที่ตั้งไว้ 3 เดือน จะให้เพิ่มอีกเท่าไหร่ก็ว่าไป โอ้โหคนทำงานทำกันตาตั้งเลย..เห็นภาพยังครับ พอเสร็จเร็วก็ถึงเวลาโกยแล้วนั้นเอง


 ทำให้ผมเริ่มที่จะหาธุรกิจทำครับ เพื่อจะได้มีเงินเยอะๆ และก็ตัดสินลาออกเพื่อหาธุรกิจทำ ทำอยู่รายอย่างครับไม่ว่าจะเป็น สอนพิเศษ ขายน้ำสมุนไพร ทำ presentation ขายเครื่องประดับ รับเหมางานและอะไรอีกหลายอย่าง ทำแล้วได้รับมากกว่าเงินเดือนที่เคยรับครับ แต่เหนื่อยมากๆ


จนได้มาอ่านหนังสือพ่อรวยสอนลูกครับ ที่ทำให้ผมทราบว่าทำไมผมเหนื่อยอย่างนี้และก็ต้องเหนื่อยอย่างนี้ไปตลอดเพราะงานที่ทำผมอยู่คืองานด้าน E และ S เทานั้น และที่ทำด้าน I อยู่มีอย่างเดียวคือฝากธนาคารซึ่งผลตอบแทนน้อยมาก นอกนั้นไม่ได้อยู่ด้าน B และ I เลย

หลังจากนั้นผมเริ่มหางานด้าน B และ I ครับ 



ธุรกิจเครือข่ายคืออะไร ?

ธุรกิจเครือข่าย   MLM  Multi-Level Marketing

ธุรกิจเครือข่ายคืออะไร ?

ธุรกิจเครือข่าย  MLM (Multi-Level Marketing) การตลาดแบบหลายชั้น

Multi-Level : ระบบในการจ่ายค่าตอบแทนให้กับบุคคลผู้ซึ่งทำให้สินค้าหรือบริการนั้นเคลื่อนตัวโดยจ่ายค่าตอบแทนตามแผนการตลาดเป็นระดับชั้น (Level) 

Marketing : การตลาด หมายถึง การเคลื่อนสินค้าหรือบริการ จากผู้ผลิตไปสู่ผู้บริโภค


     คือ การตลาดรูปแบหนึ่ง ซึ่งเป็นวิวัฒนาการของ ความคิดทางการค้า โดยมี ระบบ การวางแผนการตลาด แบบให้ผลตอบแทนหลายชั้น หลายระดับ  แนวคิดนี้ เกิดจากการใช้สินค้าดีแล้วบอกต่อ และเกิดเป็นรายได้


   Ex. ยกตัวอย่างการใช้ดีแล้วบอกต่อ เช่นวันนี้คุณไปทานอาหารที่ร้านอาหารแห่งหนึ่ง แล้วคุณเกิดประทับใจในรถชาติและบริการ ผมเป็นคนนึงที่เชื่อว่า คุณจะต้องอยากวนเพื่อนของคุณ ให้มาทานอาหารร้านนี้กับคุณอีกแน่นอน หากมีโอกาศที่จะแนะนำหรือชวนมา   


  หากว่าวันนี้คุณมีเรื่องราวที่ดีในชีวิต คุณก็คงอยากแบ่งปันเรื่องราวที่ดี ให้กับคนที่คุณรัก  " ใช่ไหมครับ ? "

      ธุรกิจเครือข่าย จึงเป็นรูปแบบการตลาดที่เปิดโอกาศโดยการแนะนำผู้บริโรค ให้สามารถสร้างธุรกิจและสามารถมีรายได้จำนวนมาก โดยที่ไม่ต้องลงทุนเป็นจำวนมากเหมือนกับการลงทุนทำธุรกิจทั่วๆไป


การสร้างรายได้ จากธุรกิจเครือข่าย คือการ เพิ่มสาขาขอตนเองให้มากที่สุด เปรียบเทียบกับ CP กับ 7-11  เมื่อ CP เปิด สาขา 7-11 เพิ่มรายได้ยิ่งเพิ่มขึ้น 
                
                   ทุกวันท่านสังเกตุ ว่าทำไม 7-11 ถึง เพิ่มมากขึ้นเรื่อย แล้วรายได้ CP นั้นจะมากขึ้นเท่าไร ?


 รายจากธุรกิจเครือข่าย ก็คือการแนะนำขยายองค์หรือ(สาขา)เช่นเดียวกับ 7-11 ยิ่งแนะนำๆได้มากย่อมมีรายได้มาก


    ธุรกิจเครือข่ายนั้นคนทั่วไปมัก มองว่าเป็นลูกโซ่หรือปิรามิด ซึ่งถ้าศึกษาให้เข้าใจอย่างแท้จริงแล้ว เป็นระบบการทำงานที่ดี เพียงคนทั่วไปซึ่งยังไม่เข้าใจ มองว่าใครมาก่อนได้เปรียบ คนอยู่ข้างบนเอาเปรียบ ซึ่งท่านลองมองระบบการทำงานปัจจุบันแล้ว

 Ex. งานบริษัท  เริ่มจาก พนักงานขาย หากต้องการจะเป็น รองหัวหน้าหน่วย ต้องใช้เวลา และมีรองหัวหน้าหน่วยกี่คน หัวหน้าหน่วยล่ะ อาจมี ซุปเปอร์ไวเซอร์ แล้วจะมีได้กี่คน และถ้าต้องการเป็นผู้จัดการล่ะ มีได้กี่คน นี่แหละครับ ระบบงานบริษัทปัจจุบัน

 Ex. งานในระบบราชการ เป็นระบบปิรามิดอย่างชัดเจน คือ ระบบชั้นของข้าราชการ คือ C1 C2.... C11
ซึ่งมองเป็นปิรามิด คือ C1 จะมีจำนวนมาก C2 จนไปถึง C11 หรือตำแหน่งที่สูงๆ จะมีจำนนคนน้อยลง แล้วตำแหน่งสูงๆนั้น จะมีกี่คน

หากท่านศึกษาอย่างเข้าใจแล้ว ไม่ว่าท่านจะมาก่อนหรือมาทีหลังในธุรกิจเครือข่าย หากท่านมีความขยันมากกว่าคนที่มาก่อนและเข้าใจในธุรกิจ  ท่านก็สามารถมีรายได้แซงคนที่มาก่อนได้ 


ธุรกิจเครือข่าย MLM ให้อะไร ?

          ไม่ว่าท่านจะลงมือทำสิ่งใดก็ตาม ท่านต้องรู้ก่อนว่าในสิ่งที่ท่านทำหรือ กำลังจะลงมือทำ ท่านจะได้อะไรจากสิ่งที่ท่านทำ สิ่งนั้นคื ผลลัพท์จากการกระทำนั่นเอง

  ก่อนที่ท่านจะตัดสินใจก้าวเข้าสู่ ธูรกิจเครือข่ายก็เช่นเดียวกัน ท่านต้องรู้ก่อนว่า หากท่านทำท่านจะได้อะไร และธุรกิจเครือข่าย MLM ให้อะไรกับท่านบ้าง

 สิ่งที่คุณจะพบในธุรกิจ MLM

• ลงทุนต่ำกว่าธุรกิจอื่นๆทั่วๆไป

• ความเท่าเทียม หรือ โอกาสในการสร้างธรุกิจ(รายได้) ไม่ว่าคุณจะเรียนจบอะไรมาก็ตาม

• ไม่จำกัดเวลาทำงาน จะตื่นมาทำงานกี่โมงนั่นแล้ว ขึ้นอยู่กับตัวของตัวคุณเอง อาจจะตื่นบ่ายโมงทำงานถึงเที่ยงคืน  แล้ววินัยของคุณในการจัดสรรเวลาการทำงาน 

 • ไม่จำกัดรายได้ ทำงานมากได้รายได้มาก ทำงานน้อยได้รายได้น้อย ไม่ทำก็ไม่ได้ มาก่อนมาหลังจึงไม่สำคัญ


         ธุรกิจเครือข่าย หรือ MLM เหมาะ กับใคร ?

    ธุรกิจเครือข่ายนั้น เหมาะสำหรับ ใครก็ตามที่ต้องการต้องการสร้างธุรกิจ เพราะธุรกิจเครือข่าย MLM นั้น คือการสร้างเครือข่ายของผู้บริโภค ใครก็ตามที่สามรถสร้างเครือข่ายผู้บริโภคได้มาก คนนั้นย่อมมีรายได้ที่มาก

       บทความนี้เป็นบทความแรก ซึ่งเป็นส่วนความรู้ส่วนหนึ่งของธุรกิจ MLM ซึ่งยังมีอีกมาก ที่ต้องศึกษาเรียนรู้

       การเริ่มธุรกิจ MLM สิ่งที่สำคัญที่สุดคือการเรียนรู้



ก่อน ที่ท่านจะลงมือทำสิ่งใดๆ ศึกษาให้แน่ใจก่อนที่ท่านจะลงมือทำ  ประโยชน์ทั้งหลายเราเป็นผู้ได้รับ หากจะต้องเสีย ก็ไม่ใช่เรื่องที่ต้องเสี่ยง กรุณาศึกษาให้เข้าใจก่อนลงมือทำสิ่งต่างๆนะครับ  
                                                              ขอบคุณครับ

สอบถาม
คุณเอกลักษณ์  (ดร๊าฟ)
Tel. 083-033-9822
E-mail  : eak_thaki@hotmail.com

เงินสี่ด้าน…อาชีพสี่อย่าง…รายได้สี่ทาง

Mr. Robert T. Kiyosaki ผู้แต่งหนังสือพ่อรวยสอนลูก ได้กล่าวเอาไว้ว่า ที่มาของเงินมีทั้งหมด 4 ทางตามที่แสดงดังภาพและ…


คนที่สำเร็จก็คือ คนที่สามารถทำให้ตัวเองอยู่ด้านขวา คือ คนที่มีระบบทำงานให้
Mr. Robert T. Kiyosaki ยังกล่าวเพิ่มเติมอีกว่า งาน ประจำหรือลูกจ้างไม่ทำให้ร่ำรวยได้ มีแต่หนี้ถ้าต้องการความสำเร็จคุณต้องเป็นเจ้าของธุรกิจ แต่มีข้อจำกัด คือ รวยแต่หยุดทำไม่ได้กับรวยแล้วหยุดทำได้

เช่น ธุรกิจใหญ่ เช่น CP, AIS  รวยแต่หยุดทำไม่ได้
เจ้าของแฟรนไชส์ เช่น แมคโดนัลด์ เซเว่น รวยแต่หยุดทำไม่ได้
ธุรกิจเครือข่าย รวยแล้วพักได้ รายได้ไม่หยุด
การตลาดแบบเครือข่ายนั้น เป็นเหมือนโรงเรียนสอนนักธุรกิจที่ช่วยให้คุณย้ายจากฝั่งซ้าย มาฝั่งขวาได้ง่าย ปลอดภัยและเห็นผลไวที่สุด