ผมชื่อ เอกลักษณ์ นะครับ ขอแนะนำตัวก่อนละกัน
เรียนจบก็แค่ ป.ตรี คณะวิศวะ ม.เกษตรนี่เอง
คือผมเป็นมนุษย์เงินเดือน คำว่า ขายตรง ไม่เคยอยู่ในหัวสมองผมเลย ผมคิดอยู่อย่างเดียวคือทำอย่างไร จะมีผลงาน เยอะๆ ขึ้นตำแหน่งสูงๆ จะได้มีเงินเดือนมากๆ เท่านั้นเอง
หลังจากที่ผมจบมาก็ได้ทำงานตามสายที่เรียนครับ ก็ OK นะครับ เข้าบริษัทที่ว่าใหญ่ของประเทศเลย เงินเดือนก็ 30,000-50,000 บาท/เดือน แล้วแต่ OT ทำงานมาเรื่อยๆ ไม่ได้คิดอะไรครับ มีเงินเก็บก้อนหนึ่ง ประมาณหลักแสน ก็ไม่ได้ลงทุนอะไรเลยทำงานมาก็เก็บอย่างเดียว เก็บโดยฝากประจำครับ
จนแต่งงานมีลูก จากเดิมรายจ่ายเราตัวคนเดียวก็ไม่มีปัญหาอะไรครับ จนมาแต่งงานแล้วมีลูกค่าใช้จ่ายก็เริ่มมากขึ้นตามตัว จะกระทั่งมีเงินที่จะเก็บน้อยลงจากเดิม จนกระทั่งไม่มีเงินที่จะเหลือเก็บเลย ก็ต้องมาลดรายจ่าย..คือสิ่งที่ฟุ่มเฟือยก็ต้องลดลง
ผมทำงานนี้มาอยู่ 5 ปีครับ ผมมีโอกาสเริ่มเข้าสังคมของผู้บริหารโดยการตีกลอฟของบริษัทฯ ทำให้ผมเห็นว่าคนที่เป็นหัวหน้าผมในสายงานที่ไม่มีธุรกิจที่เป็นของตัวเองก็ดูเหมือนสถานะทางการเงินยังไม่ดี เช่น ทำงานมาเป็น 20 กว่าปี อีกไม่กี่ปีก็เกษียรแล้ว มีทรัพย์สินเพียงบ้านกับรถเท่านั้น เงินก็มีเพียงใช้เป็นเดือนและก็บอกกับลูกตัวเองว่า พ่อแม่มีให้เท่านี้นะอยากได้ให้หาเอาเอง ทำให้ผมทราบทันทีว่าการที่ผมทำงานประจำต่อไปผมจะเป็นยังไงเนียะ ผมก็คิดมาอยู่ตลอดแต่ก็ยังตั้งใจทำงานต่อไปเหมือนเดิม
และแล้วทางสว่างก็มาให้ผมเห็นอีกครั้ง เมื่อบริษัทส่งผมไปควบคุมงานที่หนึ่ง เจ้าของส่งลูกที่เป็นทายาทมาดูงานแทนเพราะจะวางมือแล้ว ซึ่งเป็นรุ่นเดียวกันกับผม คุยแล้วรู้สึกว่าผมกับเขาอายุเท่ากันแต่เรื่องที่คุุยและจุดประสงค์ที่คุยต่างกันอย่างมาก คือผมมองว่าการทำงานของผมคือการทำงานเพื่อได้เงินมาแต่ละเดือนและถ้าอยากได้มาต้องทำงานมากคือ OT และทำให้ตำแหน่งขึ้นเพื่อเงินเดือนจะได้ขึ้นเท่านั้นเอง แต่ความคิดของเจ้าของธุรกิจคือ เอาเงินไปทำงานให้เราแล้วกำไรค่อยว่ากัน เพราะก่อนทำรู้อยู่แล้วว่าต้องมีกำไร งงล่ะซิ เจ้าของยอมที่จะเอาเงินลงทุนไปก่อนกู้มาครับ และอยากเร่งงานเหรอบอกไปเลยว่าถ้าทำเสร็จก่อนที่ตั้งไว้ 3 เดือน จะให้เพิ่มอีกเท่าไหร่ก็ว่าไป โอ้โหคนทำงานทำกันตาตั้งเลย..เห็นภาพยังครับ พอเสร็จเร็วก็ถึงเวลาโกยแล้วนั้นเอง
ทำให้ผมเริ่มที่จะหาธุรกิจทำครับ เพื่อจะได้มีเงินเยอะๆ และก็ตัดสินลาออกเพื่อหาธุรกิจทำ ทำอยู่รายอย่างครับไม่ว่าจะเป็น สอนพิเศษ ขายน้ำสมุนไพร ทำ presentation ขายเครื่องประดับ รับเหมางานและอะไรอีกหลายอย่าง ทำแล้วได้รับมากกว่าเงินเดือนที่เคยรับครับ แต่เหนื่อยมากๆ
จนได้มาอ่านหนังสือพ่อรวยสอนลูกครับ ที่ทำให้ผมทราบว่าทำไมผมเหนื่อยอย่างนี้และก็ต้องเหนื่อยอย่างนี้ไปตลอดเพราะงานที่ทำผมอยู่คืองานด้าน E และ S เทานั้น และที่ทำด้าน I อยู่มีอย่างเดียวคือฝากธนาคารซึ่งผลตอบแทนน้อยมาก นอกนั้นไม่ได้อยู่ด้าน B และ I เลย
หลังจากนั้นผมเริ่มหางานด้าน B และ I ครับ
หลังจากที่ผมจบมาก็ได้ทำงานตามสายที่เรียนครับ ก็ OK นะครับ เข้าบริษัทที่ว่าใหญ่ของประเทศเลย เงินเดือนก็ 30,000-50,000 บาท/เดือน แล้วแต่ OT ทำงานมาเรื่อยๆ ไม่ได้คิดอะไรครับ มีเงินเก็บก้อนหนึ่ง ประมาณหลักแสน ก็ไม่ได้ลงทุนอะไรเลยทำงานมาก็เก็บอย่างเดียว เก็บโดยฝากประจำครับ
จนแต่งงานมีลูก จากเดิมรายจ่ายเราตัวคนเดียวก็ไม่มีปัญหาอะไรครับ จนมาแต่งงานแล้วมีลูกค่าใช้จ่ายก็เริ่มมากขึ้นตามตัว จะกระทั่งมีเงินที่จะเก็บน้อยลงจากเดิม จนกระทั่งไม่มีเงินที่จะเหลือเก็บเลย ก็ต้องมาลดรายจ่าย..คือสิ่งที่ฟุ่มเฟือยก็ต้องลดลง
ผมทำงานนี้มาอยู่ 5 ปีครับ ผมมีโอกาสเริ่มเข้าสังคมของผู้บริหารโดยการตีกลอฟของบริษัทฯ ทำให้ผมเห็นว่าคนที่เป็นหัวหน้าผมในสายงานที่ไม่มีธุรกิจที่เป็นของตัวเองก็ดูเหมือนสถานะทางการเงินยังไม่ดี เช่น ทำงานมาเป็น 20 กว่าปี อีกไม่กี่ปีก็เกษียรแล้ว มีทรัพย์สินเพียงบ้านกับรถเท่านั้น เงินก็มีเพียงใช้เป็นเดือนและก็บอกกับลูกตัวเองว่า พ่อแม่มีให้เท่านี้นะอยากได้ให้หาเอาเอง ทำให้ผมทราบทันทีว่าการที่ผมทำงานประจำต่อไปผมจะเป็นยังไงเนียะ ผมก็คิดมาอยู่ตลอดแต่ก็ยังตั้งใจทำงานต่อไปเหมือนเดิม
และแล้วทางสว่างก็มาให้ผมเห็นอีกครั้ง เมื่อบริษัทส่งผมไปควบคุมงานที่หนึ่ง เจ้าของส่งลูกที่เป็นทายาทมาดูงานแทนเพราะจะวางมือแล้ว ซึ่งเป็นรุ่นเดียวกันกับผม คุยแล้วรู้สึกว่าผมกับเขาอายุเท่ากันแต่เรื่องที่คุุยและจุดประสงค์ที่คุยต่างกันอย่างมาก คือผมมองว่าการทำงานของผมคือการทำงานเพื่อได้เงินมาแต่ละเดือนและถ้าอยากได้มาต้องทำงานมากคือ OT และทำให้ตำแหน่งขึ้นเพื่อเงินเดือนจะได้ขึ้นเท่านั้นเอง แต่ความคิดของเจ้าของธุรกิจคือ เอาเงินไปทำงานให้เราแล้วกำไรค่อยว่ากัน เพราะก่อนทำรู้อยู่แล้วว่าต้องมีกำไร งงล่ะซิ เจ้าของยอมที่จะเอาเงินลงทุนไปก่อนกู้มาครับ และอยากเร่งงานเหรอบอกไปเลยว่าถ้าทำเสร็จก่อนที่ตั้งไว้ 3 เดือน จะให้เพิ่มอีกเท่าไหร่ก็ว่าไป โอ้โหคนทำงานทำกันตาตั้งเลย..เห็นภาพยังครับ พอเสร็จเร็วก็ถึงเวลาโกยแล้วนั้นเอง
จนได้มาอ่านหนังสือพ่อรวยสอนลูกครับ ที่ทำให้ผมทราบว่าทำไมผมเหนื่อยอย่างนี้และก็ต้องเหนื่อยอย่างนี้ไปตลอดเพราะงานที่ทำผมอยู่คืองานด้าน E และ S เทานั้น และที่ทำด้าน I อยู่มีอย่างเดียวคือฝากธนาคารซึ่งผลตอบแทนน้อยมาก นอกนั้นไม่ได้อยู่ด้าน B และ I เลย
หลังจากนั้นผมเริ่มหางานด้าน B และ I ครับ









0 ความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น