ธุรกิจเครือข่ายคืออะไร?

ธุรกิจเครือข่ายคืออะไร?

ธุรกิจเครือข่ายหลอกลวง หรือไม่?

ธุรกิจนี้แตกต่างจากแชร์ลูกโซ่ อย่างไร?

ทำไมผู้คนมากมาย ถึงสนใจร่วมทำธุรกิจ เครือข่าย?

หลายต่อหลายคนคงเคยมีคำถาม ที่ไม่มีคำตอบเหล่านี้อยู่ในใจ แต่วันนี้เราจะเปิดเผยถึงสิ่งที่เรียกว่า ธุรกิจเครือข่าย และไขข้อสงสัยของคุณ
 
ธุรกิจ เครือข่าย แตกต่างจากธุรกิจทั่วไปอย่างไร

สินค้าชิ้นหนึ่ง เมื่อเดินทางออกจากสายพานของโรงงานอุตสาหกรรม ผู้ผลิตสินค้าจะเลือกช่องทางการกระจายสินค้าได้ 2 แบบ คือ




ธุรกิจทั่วไป(Traditional Marketing): 40% ของราคาสินค้าจะหมดไปกับต้นทุนการผลิต และนำ 60% ส่วนที่เหลือจ่ายเป็นค่าการตลาดให้กับธุรกิจโฆษณา ธุรกิจค้าส่ง และธุรกิจค้าปลีก จะเห็นว่าธุรกิจโฆษณามีบทบาทอย่างมากสำหรับธุรกิจทั่วไปผู้ผลิตสินค้าจะต้องเสียเงินถึง 30%

ไปกับการจ้างดารา นักแสดง หรือผู้มีชื่อเสียง เพื่อโปรโมทสินค้าผ่านทางสื่อต่างๆไม่ว่าจะเป็นสื่อกระแสหลักอย่าง ทีวี วิทยุ หนังสือพิมพ์ หรือสื่อยุคใหม่อย่าง อินเตอร์เนต บางครั้งผู้บริโภคก็ซื้อสินค้า โดยไม่ได้คำนึงถึงคุณภาพของมัน บางคนก็อาจจะมีข้อกังขาว่า ผู้มีชื่อเสียงเหล่านั้น เคยใช้สินค้าหรือไม่?

หรือว่าดารา นักแสดง จะช่วยยกระดับคุณภาพของสินค้าจริงหรือ? ผู้ผลิตยังต้องแบ่ง 10% ของราคาสินค้าให้กับธุรกิจค้าส่ง และให้เครดิตการค้าเป็นเวลายาวนาน เพราะต้องพึ่งพิง ช่องทางการกระจายสินค้าไปสู่ธุรกิจค้าปลีก และอีก 20% ที่จะต้องจ่ายให้กับธุรกิจค้าปลีกนั้น

ผู้ผลิตอาจจะต้องเสียเงินค่าวางสินค้า (Shelf Cost) ให้กับผู้ค้าปลีกรายใหญ่ เช่น ร้านสะดวกซื้อ (Convenience Store) หรือร้านค้าปลีกขนาดใหญ่ (Discount Store/Hypermarket)

ประเด็นทั้งหมดนี้ ทำให้เกิดข้อสงสัยขึ้นว่า ค่าการตลาดที่จ่ายไปมากมาย ช่วยเพิ่มมูลค่าให้กับสินค้าของผู้ผลิตหรือไม่ และต้นทุนที่ผู้ผลิตต้องแบกรับ ทำให้ต้องลดคุณภาพสินค้าหรือไม่?

ธุรกิจเครือข่าย(Network Marketing)
: 40% ของราคาสินค้าจะหมดไปกับต้นทุนการผลิตเช่นกัน แต่ธุรกิจMLMจะนำ 60% ส่วนที่เหลือจ่ายเป็นค่าการตลาดให้กับนักธุรกิจขายตรงแทน ระบบการจัดจำหน่ายนี้ เปิดโอกาสให้ผู้บริโภคมีส่วนร่วมใน 60% ที่เป็นค่าการตลาด

เป็นการเปลี่ยนจากผู้บริโภคเป็นนักธุรกิจเครือข่ายหรือผู้บริโภคกึ่งหุ้นส่วนทางธุรกิจ (consumer/partner) ผ่านทางการใช้สินค้าและหากเมื่อใช้แล้วรู้สึกว่าสินค้าดีมีคุณภาพ ก็แนะนำคนรอบข้างให้ใช้ตาม ซึ่งการที่ผู้บริโภคใช้สินค้าแล้วบอกต่อก็เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นอยู่เป็นประจำในชีวิตประจำวัน

แต่ในระบบธุรกิจทั่วไปผู้บริโภคจะทำการตลาดให้ผู้ผลิตฟรีๆ เช่น เมื่อเราไปชมภาพยนตร์เรื่องหนึ่ง แล้วเรารู้สึกชอบ เราก็ไปคุยกับเพื่อน และชวนเพื่อนให้ไปดูบ้างเราก็มีความสุขที่ได้แบ่งปันสิ่งดีๆให้กับเพื่อน ในขณะที่เพื่อนก็มีความสุขที่ได้ชมภาพยนตร์คุณภาพ

หากเปลี่ยนเป็นทำการตลาดในธุรกิจMLM เราจะได้รับทั้งความสุขและมีโอกาสได้รับรายได้ในส่วนที่ดารา นักแสดง ผู้ค้าส่ง และผู้ค้าปลีกได้รับและหากมองของผู้ผลิตนั้น ผู้ผลิตในธุรกิจขายตรงก็สามารถคลายความกังวลทางด้านต้นทุนที่เคยต้องแบกรับเมื่อเปรียบเทียบกับธุรกิจทั่วไป

โดยเฉพาะอย่างยิ่งค่าใช้จ่ายกับธุรกิจโฆษณา เพราะเป็นสิ่งที่ผู้ผลิตต้องชำระแม้จะขายสินค้าไม่ได้เลยแม้แต่ชิ้นเดียว ทำให้ผู้ผลิตยังคงคุณภาพของสินค้าได้ในระดับสูง


ธุรกิจเครือข่าย หลอกลวงหรือไม่?

ในประเทศไทย โดยปกติแล้ว ผู้ผลิตที่จะกระจายสินค้าแบบเครือข่ายจะต้องยื่นขอจดทะเบียนกับ สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค (สคบ.) ซึ่งก็เป็นการสร้างความมั่นใจได้ระดับหนึ่งว่า ผู้ผลิตนั้นน่าเชื่อถือ ไม่หลอกลวง แต่อย่างไรก็ตาม วิธีการแยกธุรกิจเครือข่าย ออกจากแชร์ลูกโซ่ สังเกตได้จากประเด็นดังนี้

  •     แชร์ลูกโซ่จะมีค่าสมัครสมาชิกที่มีราคาสูงมาก โดยผู้แนะนำสมาชิกใหม่จะได้เงินโบนัส ทันทีที่มีการสมัครจากสมาชิกใหม่ แต่ธุรกิจเครือข่ายจะมีค่าสมัครสมาชิกที่ราคาถูก และผู้แนะนำสมาชิกใหม่จะไม่ได้รับส่วนเงินแบ่งจากค่าสมัครสมาชิก
  •     แชร์ลูกโซ่จะเน้นที่การสมัครสมาชิก แต่ไม่เน้นที่ตัวสินค้า ขณะที่ธุรกิจ MLM จะเน้นที่การแนะนำสินค้าอุปโภคบริโภค ซึ่งใช้แล้วหมดไป และก่อให้เกิดการซื้อซ้ำ เพื่อสร้างรายได้ในระยะยาว
  •     แชร์ลูกโซ่จะมีสินค้าที่ราคาสูงผิดปกติ และมาพร้อมกับค่าสมัครสมาชิก ในขณะที่ธุรกิจขายตรงจะขายสินค้าที่ราคาเป็นธรรม เนื่องจากเป็นการเปลี่ยนช่องทางการใช้ค่าการตลาดจากการโฆษณา ค้าส่ง และค้าปลีก เป็นจ่ายให้กับนักธุรกิจเครือข่ายแทน
  •     แชร์ลูกโซ่จะอยู่กับสมาชิกไม่นาน (ประมาณ 1-2 ปี) เพราะหากจำนวนสมาชิกใหม่ลดลง แชร์ลูกโซ่จะไม่มีเงินโบนัสไปจ่ายสมาชิกเก่า เพราะฉะนั้น บริษัทที่มีประวัติความเป็นมาพอสมควร ประกอบธุรกิจมานานกว่า 2 ปี จึงมีแนวโน้มที่จะไม่ใช่ธุรกิจแชร์ลูกโซ่

0 ความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น